มาแชร์ประสบการณ์ลูกป่วยจนต้องไปหาหมอที่ญี่ปุ่นกันครับผม
เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากให้เกิด
ยิ่งเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่
แต่ในความจริงเราไม่สามารถกำหนดได้
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ระหว่างทริปปีใหม่ของผมกับครอบครัว Youtuber ที่สนิทกัน
น้องเฌอแตม(Tam Story)เกิดอาการมีไข้ ลองให้ทานยาที่พกมาจากไทยด้วย แล้วไข้ก็ไม่ยอมลด
เลยตัดสินใจที่จะให้หมอดูอาการสักหน่อยดีกว่า เพราะกลัวน้องเป็นไข้หวัดใหญ่หรืออะไรที่ร้ายแรง
ปกติการไปหาหมอที่ญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเหมือนที่ไทย
ไม่ใช่ว่าเราจะตรงไปที่โรงพยาบาลแล้วตรวจได้เลย
ต้องมีการนัดล่วงหน้ามาก่อน
ไหนจะเรื่องภาษาที่ใช้สื่อสารอีก
ความยากอีกยากหนึ่งก็คือวันนั้นตรงกับวันปีใหม่ (1 มค.)
ยอมรับว่าตอนนั้นมึนไปหมด ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
จนนึกคุ้น ๆ ว่าเคยมีคนมาบอกในกระทู้ PANTIP ที่ผมเคยขอความช่วยเหลือเรื่องลูกป่วย
ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อ 8 ปีที่แล้ว …(นึกย้อนกลับไปนานนิดนึง 😅 )
จาก comment นี้เลย
ปรากฏว่า link ตายย…( 8 ปีผ่านไป เค้าคงเปลี่ยนหน้าไปแล้วมั้ง 😭)
ก็เลยลองหน้าอื่น ๆ ดู จนเจอหน้านี้
https://www.himawari.metro.tokyo.jp/qq13/qqport/tomintop/other/fks230.php#sectionIn-02
เห็นว่ามีให้ข้อมูลเป็นภาษาไทยด้วย
จะเป็นไงบ้าง รีบโทรเลยดีกว่า
ปกติผมใช้ LINE OUT โทร เพราะสะดวกและเรทถูกมาก
หน้าจอขึ้นโชว์เลยว่าเบอร์นี้โทรฟรี ไม่คิดเงินด้วย
ปลายสายรับและถามคำแรกเลยว่า “Where are you com from”
พอบอกไปว่ามาจากไทย เค้าจะโอนสายไปให้เจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาไทยได้เลย
เจ้าหน้าที่เค้าถามช้อมูลค่อนข้างละเอียดตั้งแต่อาการที่เป็น พักที่ไหน คนไข้อายุเท่าไหร่ แล้วแนะนำให้มาหาที่นี่ “Tokyo Business Clinic”
เพราะไม่ไกลจากที่พักแถมมีคุณหมอเด็กโดยเฉพาะเลย
ไม่รอช้ารีบนั่ง Taxi ไปเลย (มารู้ตอนหลังว่าเบิกค่า Taxi กับประกันได้อีกด้วย)
นั่งรถมาไม่ถึง 10 นาที ก็มาถึงสถานีโตเกียว
Tokyo Business Clinic จะอยู่ที่ชั้น B1 JR Tokyo Station Yaesu North Exit
ถ้าลงบันไดเลื่อนมาชั้น B1 จากหน้าประตู Yaesu North จะหาเจอได้ง่ายมาก
แต่ถ้าเดินมากจากทิศอื่นเลย จะหายากหน่อย แนะนำให้ขึ้นมาตั้งต้น ที่ Yaesu North จะง่ายกว่า
เมื่อมาถึง ขั้นตอนก็จะคล้ายกับที่ไทย คือเราต้องลงทะเบียนคนไข้ก่อน
จากนั้น จะมีพยาบาลเรียกเราเข้าห้องตรวจ สอบถามข้อมูลต่าง ๆ โดนละเอียด บันทึกไว้ แล้วให้ออกมารอข้างนอกเหมือนเดิม (ไม่ได้เจอหมอเลยนะ 😅)
ออกมารอหน้าห้องได้สักพัก ก็ถึงคิวที่จะได้ตรวจกับคุณหมอแล้ว
การตรวจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คุณหมอพูด อธิบายเป็นภาษาอังกฤษค่อนข้างฟังง่าย แต่เป็นปกติของการรักษา ที่มันจะมีศัพท์เฉพาะเยอะ
ถ้าอันไหนหมออธิบายแล้วเราทำหน้าไม่เข้าใจ เค้าก็จะเปิด Google translate แล้วแปลให้เราเห็น ๆ เลยว่าเป็นคำไหน ความหมายว่าอย่างไร
ซึ่งหมอสรุปว่า ไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่ ส่วนไข้ที่ไม่ลดนั้น เดี็ยวให้เอายาไปทานดู ถ้าภายใน 1-2 วันอาการยังไม่ดีขึ้น ให้มาหาใหม่
ยอมรับว่าตอนแรกแอบอยากให้หมอจ่ายยาให้เยอะกว่านี้ แต่การรักษาตามอาการน่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเด็ก (แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เฌอแตมอาการดีขึึ้นภายใน 2 วัน เที่ยวต่อได้เหมือนไม่ได้ป่วยมาก่อนเลย 😃 )
แล้วก็ออกมาต้องตรวจมารอเอกสาร และชำระเงิน
ในการมาหมอครั้งนี้ มีค่าใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วน คือ
1.ค่าตรวจ (Medical Expenses) 10,260 เยน
2.ค่าใบรังแพทย์ (Medical Certificate) 3,330 เยน
3.ค่ายา 2,180 เยน
เบ็ดเสร็จ รวมทั้งหมด 15,770 เยน
ตึเป็นเงินไทยก็ประมาณ 4,731 บาทได้
ถือว่าเยอะใช้ได้เลยกับการหาหมอ 1 ครั้ง
แต่เราทำประกันการเดินทางมาด้วย
ทำให้เราสามารถกลับไปเบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดกับบริษัทประกันได้เลย
แนะนำให้ทำไว้นะครับ
ปกติผมจะทำสลับ ๆ กันไปในแต่ละทริป ไม่มีของที่ไหนที่ใช้ประจำ
ครั้งนี้ผมทำของ MSIG ไป
ประทับเรื่องการใช้ข้อมูลกับความเร็วในการประสานงานครับ
เพราะวันที่ผมติดต่อไปเป็นวันปีใหม่
ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันว่าจะมีคนรับเรื่องหรือเปล่า
ปรากฎว่ารับเรื่อง ตามเรื่องให้รวดเร็วดีครับ อันนี้ขอชมเลย
ลองดูรายละเอียดการทำประกันได้ที่นี่เลย
https://papanano.page.link/MSIG
หลังจากที่เราชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ต้องไปเอายาเองที่ร้าน
ซึ่งก็อยู่ติดกลับคลินิคเลย
เมื่อเข้าเข้ามาถึง เภสัชจะให้เรากรอกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคนไข้อีกนิดหน่อย พวกน้ำหนัก ส่วนสูง มีอาการแก้ยาบ้างหรือเปล่า
แล้วก็จ่ายเงินค่ายา แล้วก็นั่งรอเค้าจัดยา
ยังมีเรื่องให้เราลุ้นระทึกกันอีก
เมื่อเภสัชเดินมาบอกว่า ยาที่หมอสั่งให้ หมด! 😱
ที่แรกก็ใจหาย แล้วต้องทำอย่างไรกัน
เภสัชอีกคนเลยรีบเดินมาบอกว่า รอประมาณครึ่งชั่วโมง กำลังไปเอายามาให้ (มีแบบนี้ด้วย)
แต่สุดท้าย เราได้ยามาจนได้ 😌
ไว้เป็นข้อมูลนะครับผม การหาหมอที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะโตเกียว
ง่ายและสะดวกกับนักท่องเที่ยวอย่างเราขึ้นเยอะเลยครับ